เอกชนจี้รัฐเร่งแก้ปัญหามาบตาพุด
ชี้หากช้าเงินหายแสนล้าน
![](marptapud3.jpg)
"เอกชน"
วอนคณะทำงาน 4 ฝ่ายแก้ปัญหามาบตาพุด ลดเวลาทำ HIA ชี้หมดเวลาชักช้าแล้ว
หวังลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน
ลดปัญหาการฟ้องร้อง ช่วยแรงงานไม่ให้ตกงานเพิ่ม
นายสันติ
วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
เปิดเผยว่า จากกรณีที่คณะทำงาน 4 ฝ่าย ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน
เป็นประธาน ระบุว่า จะมีความชัดเจนเกี่ยวกับกรอบการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
(EIA) และรายงานผลกระทบต่อสุขภาพ (HIA) ในเร็วๆนี้ และคาดว่ากระบวนการจัดทำ
HIA จะใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือนเสร็จนั้น ทางภาคเอกชนเห็นว่า
หากสามารถร่นระยะเวลาให้กับ 65 กิจการที่โดนระงับกิจการเป็นกรณีพิเศษให้เหลือน้อยสุด
3-4 เดือนได้ จะทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบต่ำที่สุดจากการระงับกิจการ
นอกจากนั้น อยากให้มีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งมาเป็นเจ้าภาพดูแลเหมือนกับการบริการอื่นจากภาครัฐที่เป็นแบบครบวงจรหรือ
One Stop Service
"ผมเห็นว่าหากทุกฝ่ายมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติ
ตามกฎหมาย การดำเนินการแก้ไขก็น่าจะเร็วขึ้น เพราะยิ่งระงับกิจการนานเพียงใด
ผลกระทบก็จะมีต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งต่อเงินลงทุน การจ้างงาน
ยังไม่รวมถึงผลกระทบต่อสถาบันการเงิน และที่สำคัญอาจจะมีการฟ้องร้องตามมา
ซึ่งเชื่อว่าหากทำให้เร็วได้โอกาสการฟ้องร้องก็จะมีน้อยลง
เพราะจริงๆแล้วหากไม่จำเป็นเชื่อว่าเอกชนก็ไม่ต้องการจะทำอย่างนั้น"
นายสันติกล่าวต่อว่า
หากพิจารณากิจการที่ถูกระงับกิจการ 65 กิจการในขณะนี้แล้ว
แทบจะไม่ได้เข้าข่ายเป็นกิจการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และชุมชนร้ายแรงแต่อย่างใด ซึ่งควรจะต้องทำให้มีความชัดเจนในคำจำกัดความด้วย
หากไม่เช่นนั้นความเชื่อมั่นจะไม่กลับมาแน่ เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่กิจการที่เข้ามาลงทุนในไทยจะโดนระงับอีกก็จะมีสูง
เพราะจะต้องมีการมาตีความอีกครั้ง และหากยึดหลักการของการจัดทำ
HIA จากกิจการที่มีผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมรุนแรง เชื่อว่าหลายกิจการมีโอกาสจะยื่นอุทธรณ์ขอเพิกถอนจากการระงับกิจการได้อีก
รวมไปถึงกิจการที่ผ่าน EIA ก่อนรัฐธรรมนูญปี 2550 บังคับใช้
ยังขืนช้าปีหน้าเงินหายแสนล้าน
ดังนั้น
หากปล่อยให้ความไม่ชัดเจนยิ่งล่าช้าออกไป จะมีผลต่อความเชื่อมั่นและจะกระทบต่อการลงทุนใหม่ที่จะเข้ามาในปี
2553 โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI ในประเภทอุตสาหกรรมหนัก
ทั้งอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เหล็ก โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่แต่ละปีจะเข้าประเทศไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท
อาจหยุดชะงักและมองหาประเทศอื่นแทน ซึ่งกิจการเหล่านี้มีเม็ดเงินลงทุนค่อนข้างสูง
ดังนั้น รัฐบาลจะต้องวางความชัดเจนว่า กิจการประเภทใดแน่ที่เข้าข่ายเป็นกิจการรุนแรงเพื่อปฏิบัติตามมาตรา
67 วรรค 2 ในรัฐธรรมนูญปี 2550
ด้านนายบวร
วงศ์สินอุดม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสปฏิบัติการ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์
และการกลั่น กล่าวว่า การลงทุนใหม่ของไทยในภาพรวมขณะนี้คงยังไม่ต้องพูดถึง
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เนื่องจากจะต้องรอความชัดเจนถึงมาตรการในการหาทางออกของการระงับกิจการ
65 โครงการให้ได้เสียก่อน แน่นอนว่าหากทุกอย่างยังออกมาในลักษณะคลุมเครือไม่ชัดเจนถึงแนวทางในการปฏิบัติเชื่อว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีคงจะมองหาที่อื่นแทนโดยเฉพาะประเทศเวียดนาม
"วันนี้คงไม่ต้องมองไปถึงว่าปิโตรเฟส
4 จะเกิดหรือไม่ เพราะเอาที่มีอยู่วันนี้ให้เดินได้ก่อนแล้วค่อยคิดเพราะหากมาบตาพุดยังเป็นปัญหาอยู่
ต้องถามว่าแล้วพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้หรือเซาเทิร์นซีบอร์ดจะเกิดได้หรือ
เวลานี้ทุกอย่างมันอยู่ที่การบริหารจัดการ อย่างกรณีรถยนต์ใน
กทม.แต่ก่อนมีปัญหามลพิษเพิ่มขึ้น ทำไมวันนี้มันยังอยู่ได้"
นายบวรกล่าว
"อมตะ"
เซ็งนักลงทุนส่อเลิกซื้อที่
ขณะที่นายวิบูลย์
กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท
อมตะคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศ
เช่น นักลงทุนญี่ปุ่น และอื่นๆ กว่า 10 ราย วงเงินลงทุนรวม
1 แสนล้านบาท แสดงความสนใจที่จะเข้ามาลงทุน แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถหาข้อสรุปการเจรจาซื้อที่ดินในพื้นที่นิคมฯ
อมตะได้ เนื่องจากบริษัททุนข้ามชาติกังวลถึง 3 ปัจจัยเสี่ยง
ประกอบด้วย ปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความขัดแย้งทางการเมืองของไทยที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
และความไม่ชัดเจนของ 65 โครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ระงับชั่วคราว
"ลูกค้ากว่า
10 ราย ซึ่งเป็นรายใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เคมีภัณฑ์
เครื่องมือทางการเกษตร อาหาร ได้เจรจามาตั้งแต่ต้นปี 52 แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ว่าจะเข้ามาลงทุนในไทยหรือไม่
ซึ่งหากปัญหาการเมืองและมาบตาพุดไม่มีทิศทางที่ชัดเจน มองว่าโอกาสที่เม็ดเงินเหล่านี้จะย้ายไปอยู่ที่อื่น
โดยเฉพาะประเทศเวียดนามก็มีสูง แต่หาก 3 ปัจจัยเสี่ยงทุเลาลงอย่างรวดเร็วเชื่อว่าเกือบทั้งหมดจะเข้ามาลงทุนได้แน่นอน
และทำให้อมตะขายที่ดินเพิ่มเกือบ 1,000 ไร่"
นายวิบูลย์กล่าวต่อว่า
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุดนั้น เรื่องนี้คงส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมไทยภาพรวมแน่นอน
เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการผลิตวัตถุดิบต้นน้ำ เพื่อนำมาผลิตสินค้าต่อไป
ซึ่งหลังจาก 65 โครงการถูกระงับ ทำให้ผู้ผลิตสินค้าบางส่วนต้องนำเข้าวัตถุดิบในราคาที่สูง
จนส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตภาพรวมมากขึ้นด้วย
สำหรับการขายพื้นที่ดินในนิคมฯอมตะในปี
52 นั้น ในขณะนี้คาดว่าอมตะจะขายพื้นที่แก่นักลงทุนได้ทั้งสิ้น
300 ไร่ ลดลงจากปีก่อนที่มียอดขายถึง 900 ไร่ มากถึง 600 ไร่
ขณะที่แนวโน้มในปี 53 นี้ ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่า
บรรยากาศการลงทุนในไทยจะเป็นอย่างไร เพราะยังมีความเปลี่ยนแปลงสูงมาก
ซึ่งจำเป็นต้องรอให้ผ่านไตรมาสแรกก่อน (ม.ค.-มี.ค.53) จึงจะตั้งเป้าหมายได้.
ข้อมูลจาก
![](thairath.jpg)
![](../../pic_index/Edit%20Web/back2.jpg)